ระบบจัดการข้อมูลคนไข้ (OPD)

หน้าที่หลักของระบบ OPD 

  • ลงทะเบียนผู้ป่วย เช่น ชื่อ, อายุ, เลขบัตรประชาชน, ประวัติเบื้องต้น เป็นต้น
  • จัดคิวเข้าพบแพทย์ โดยสามารถบริหารจัดการเวลานัด, คิวตรวจ หรือเรียงลำดับตามลักษณะฉุกเฉิน
  • บันทึกการรักษา โดยสามารถกรอกประวัติการรักษา, วินิจฉัยโรค, ใบสั่งยา, ใบนัดติดตามผล ได้ในระบบ
  • สั่งจ่ายยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ โดยการเชื่อมโยงกับแผนกจ่ายยา เพื่อเตรียมยาให้ตรงกับใบสั่งยาของแพทย์
  • เรียกเก็บเงิน / ออกใบเสร็จ โดยระบบสามารถคำนวณค่าใช้จ่าย รวมถึงเชื่อมโยงกับสิทธิประกัน, สิทธิ สปสช., ข้าราชการ ฯลฯ
  • ออกใบรับรองแพทย์หรือใบรายงานผล ในกรณีต้องการเอกสารทางการแพทย์ เช่น ใบรับรองแพทย์ หรือผลตรวจต่าง ๆ 

IPD และ OPD แตกต่างกันอย่างไร

IPD (In-Patient Department) หรือ ระบบบริหารจัดการแผนกผู้ป่วยใน เป็นลักษณะของกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือคลินิกเวชกรรม ที่ต้องเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง 

OPD (Out-Patient-Department) หรือ ระบบบริหารจัดการแผนกผู้ป่วยนอก สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องนอนพักรักษาตัว สามารถกลับบ้านได้เลย 

เก็บข้อมูลแบบ ‘ระบบ’ ดีกว่าอย่างไร

  • ค้นหาข้อมูลได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลเยอะ แค่พิมพ์ชื่อผู้ป่วยหรือเลขประจำตัว ก็สามารถเห็นข้อมูลได้อย่างครบถ้วนภายในไม่กี่วินาที
  • เพิ่มความสะดวกในการเก็บข้อมูล สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แยกหมวดหมู่ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดเรียงเอกสารหลายแผ่นอีกต่อไป
  • ลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนหลักหรือต้นทุนแฝง ช่วยให้เซฟต้นทุนต่าง ๆ ได้มากขึ้น ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่สามารถเห็นผลลัพธ์ และมีความคุ้มค่าระยะยาว
  • มีความปลอดภัย เพราะสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงได้ เช่น แพทย์ดูข้อมูลการรักษาได้เท่านั้น เจ้าหน้าที่ดูได้เฉพาะประวัติคนไข้เบื้องต้นได้
  • ทำงานร่วมกันได้หลายฝ่าย แพทย์, พนักงานต้อนรับ, การเงิน, ผู้บริหาร สามารถดูข้อมูลส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทันที นอกจากนั้นข้อมูลยังมีความเรียลไทม์ และแม่นยำ
  • ดูข้อมูลย้อนหลังและวิเคราะห์ได้ โดยระบบสามารถแสดงสถิติคนไข้, รายรับ, การใช้ยา หรือการนัดหมายย้อนหลังได้อย่างแม่นยำ

เก็บข้อมูลแบบเอกสารมีผลเสียอะไรบ้าง

  • เสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหาย ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุสุดวิสัยอย่าง ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการจัดเก็บผิดที่ ไปจนถึงการเสื่อมสภาพของกระดาษตามกาลเวลา
  • จัดการและค้นหายาก ทั้งยังต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการค้นหาข้อมูลลูกค้าจากแฟ้มหรือกองเอกสารจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาเพิ่มมากขึ้น
  • เปลืองพื้นที่จัดเก็บ เพราะหากมีแฟ้มเอกสารจำนวนมาก จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บแฟ้มเอกสารอย่างเพียงพอ และเนื่องจากเอกสารอาจเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ อาจส่งผลให้สถานที่จัดเก็บไม่เพียงพอได้
  • ความซับซ้อนในการเก็บข้อมูล เพราะข้อมูลอาจมหลายหมวดหมู่ จึงจำเป็นต้องอาศัยความแม่นยำ ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันต่อคนทั้งองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้ยากในองค์กรที่มีบุคลากรเยอะ
  • ต้นทุนแฝง แม้จะเริ่มต้นด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่กลับเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าเครื่องถ่ายเอกสาร ค่าซ่อมบำรุง ค่าจัดส่งเอกสาร ไปจนถึงค่าสถานที่ในการจัดเก็บข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
  • ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้งานร่วมกัน ซึ่งหากต้องการใช้งานร่วมกันครั้งละหลาย ๆ คนอาจต้องมีการถ่ายเอกสารขึ้นมาใหม่ เนื่องจากไม่สามารถใช้งานพร้อมกันได้หลายคนเหมือนระบบดิจิทัล
  • ข้อมูลไม่ปลอดภัย สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญหรือข้อมูลเฉพาะกลุ่มงาน โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกนำไปเผยแพร่ได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่าย

🔄 สรุปเปรียบเทียบ

ด้านที่เปรียบเทียบเอกสารระบบดิจิทัล
ความรวดเร็วในการค้นหา❌ ช้า✅ เร็วมาก
พื้นที่จัดเก็บ❌ เปลือง✅ ประหยัด
ความปลอดภัยของข้อมูล❌ ต่ำ✅ สูง
ความสามารถในการใช้งานร่วมกัน❌ ยาก✅ ง่าย
ความสะดวกในการจัดเก็บ❌ วุ่นวาย✅ เป็นระบบ
ต้นทุนในระยะยาว❌ สูง✅ คุ้มค่า
การวิเคราะห์ข้อมูล❌ ทำได้ยาก✅ มีสถิติให้ใช้

หากคุณเป็นคลินิก โรงพยาบาล หรือองค์กรที่ยังใช้เอกสารกระดาษเป็นหลัก การเปลี่ยนมาใช้ระบบจัดการข้อมูลดิจิทัล คือหนึ่งในการลงทุนที่ “คุ้มค่าในระยะยาว” ทั้งในแง่ของเวลา ต้นทุน และความปลอดภัย

ต้องการระบบจัดการข้อมูลคนไข้ที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย?
📌 EasyApp Clinic ช่วยคุณได้
แอดไลน์: @easyapp
สอบถามโทร:  062-4655-222